NEWS & Blog

ข่าวและกิจกรรม
kitamurahouse
โฟนิคส์ (Phonics) คืออะไร?
สมัยนี้การเรียนภาษาอังกฤษที่มักได้ยินกันบ่อยในหมู่เด็กๆ ก็คือการเรียนโฟนิคส์ ที่ต่างเรียนกันอย่างแพร่หลาย จนหลายท่านอาจสงสัยว่าการเรียนโฟนิคส์นั้นคืออะไร ทำไมสมัยเราเรียนหนังสือไม่เห็นเคยได้ยินหรือเคยรู้จักมาก่อน ทำไมสมัยนี้พูดกันเยอะมาก วันนี้จะเล่าเรื่องการเรียนโฟนิคส์ให้ทราบกันคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
โฟนิคส์ คือวิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว ผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียงของตัวอักษรต่างๆ และออกเสียงเหล่านั้นให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นคำได้ ยกตัวอย่างเช่น การสะกดคำว่า cat ในสมัยเราๆ จะท่องกันว่า ซี-เอ-ที แคท แมว ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าทำไม ซี-เอ-ที ถึงกลายเป็นแคทไปได้ เพราะการท่องแบบนี้ไม่ได้ใช้หลักการผสมเสียงแต่เป็นการท่องจำการสะกดคำเสียมากกว่า
จากตัวอย่างนี้ ถ้าเรียนตามหลักโฟนิคส์ จะสอนให้รู้จักตัว “c” จากเสียงของมันคือเสียง “ค” (ออกเสียงเคอะ เบาๆ ในลำคอ) ตัว “a” เป็นเสียง “แอะ” และตัว “t” เป็นเสียง “ท” (ออกเสียง เทอะ เบาๆ ใช้ปลายลิ้นกระทบฟันหน้าบน) และผสมเสียงกันเป็น “ค-แอะ-ท แคท” (ลองออกเสียง ค-แอะ-ท ซ้ำๆ เร็วๆ จะพบว่าสุดท้ายจะออกเสียงเป็น “แคท”) หลักการถอดรหัสเสียง และผสมเสียงแบบนี้แหละค่ะที่เรียกว่าโฟนิคส์นั่นเอง ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกผสมเสียงพยัญชนะ สระต่างๆ ที่หลากหลายจนคล่องแคล่วโดยใช้หลักโฟนิคส์นี้ค่ะ

แล้วคำที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักโฟนิคส์ล่ะ มีไหม หลักโฟนิคส์ใช้อ่านหรือสะกดคำต่างๆ ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่แน่นอนค่ะมีคำบางคำที่อ่านในรูปแบบเฉพาะที่ไม่ใช่ตามหลักโฟนิคส์ ซึ่งเราจะเรียกคำเหล่านี้ว่า “คำพิเศษ” หรือ “Special words” เช่น คำว่า watch หากอ่านตามหลักโฟนิคส์อ่านว่า ว-แอะ-ท-ช แวทช แต่จริงๆ แล้วอ่านว่า วอทช เพราะตัว “a” ที่ปกติเป็นเสียง “แอะ” พออยู่ในคำนี้ออกเป็นเสียง “เอาะ” เป็นต้น ซึ่งคำพิเศษนี้เด็กๆ จะได้เจอเมื่อเขาอ่านเยอะ อ่านมาก และฝึกสังเกตคำต่างๆ หากคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่ช่วยแนะนำด้วยเมื่อเด็กเจอคำพิเศษเหล่านี้ก็จะยิ่งดีค่ะเรียนแล้วได้อะไร การเรียนโฟนิคส์จะช่วยให้เด็กๆ ออกเสียงได้ถูกต้อง ทำให้พวกเขาสื่อสารภาษาอังกฤษได้ชัดเจน และสามารถอ่านเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถสะกดคำศัพท์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่วจากการรู้จักเสียงของตัวอักษรและเข้าใจหลักการผสมเสียง แม้ในช่วงแรกการเรียนแบบโฟนิคส์จะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำมาก เพราะเด็กต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจเสียงและหลักการผสมคำจากง่ายไปยาก ต้องฝึกซ้ำๆ เพื่อให้จำได้ และมีบทศึกษามากมายที่ยืนยันว่าเด็กที่เรียนการอ่านเขียนแบบนี้จะสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไป และมีความแตกฉานทางภาษา รักการอ่าน การค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองในอนาคตเรียนโฟนิคส์แล้วจะนำมาใช้ทันกับหลักสูตรแบบดั้งเดิมของโรงเรียนทั่วไปหรือเปล่า การเรียนโฟนิคส์นั้น จะเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงจะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำ เพราะเด็กๆ ไม่ว่าจะโตแค่ไหน เรียนระดับไหนก็ต้องมาเริ่มที่เสียง a b c … แล้วค่อยๆ หัดผสมเสียงจากง่ายก่อน ดังนั้น จะคาดหวังให้ใช้หลักโฟนิคส์สะกดคำยากๆ ได้เลยตามที่โรงเรียนให้การบ้านมาในช่วงแรกของการเรียนโฟนิคส์ก็อาจดูยากเกินไปสำหรับลูก เช่น ลูกเพิ่งเรียนการผสมเสียงสระตัว “a” เช่นคำว่า bat, hat, rat, mat หากจะให้สะกดคำว่า January โดยหลักโฟนิคส์เลย คงยังทำไม่ได้ แต่ในระยะยาวเมื่อลูกเรียนจบและได้มีการฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าการเรียนโฟนิคส์จะช่วยส่งเสริมให้การอ่าน การสะกดคำต่างๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และเข้าใจหลักการออกเสียง การอ่านเขียนอย่างแท้จริง จึงมีบทวิจัยออกมาหลายสำนักว่าหลักโฟนิคส์ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไปถึง 2-3 ปีหลักโฟนิคส์นี้เป็นการเรียนแบบใหม่ที่เพิ่งค้นพบหรือ หลักโฟนิคส์ เป็นหลักการอ่านเขียนที่เรียนกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่เมื่อราว 20-40 ปีที่ผ่านมาได้เลือนหายไป เนื่องจากมีทฤษฎีใหม่ที่บอกว่าการอ่านแบบโฟนิคส์นั้นยุ่งยาก กว่าจะแตกเสียง ผสมเสียง จนอ่านเป็นคำนั้นช้าไม่ทันใจ หันมาใช้วิธีเรียนแบบจำคำศัพท์เป็นคำๆ ที่เรียกว่า Whole Language ดีกว่าเพราะเร็วกว่ากันเยอะ โรงเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย จึงเลิกสอนโฟนิคส์ไปตามๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีกลับพบว่าความสามารถในการอ่านเขียนของประชาชนต่ำลง เพราะคนเรานั้นจดจำคำศัพท์ได้จำกัด และการไม่รู้หลักการสะกดนั้นก็ทำให้อ่านได้ไม่คล่อง เมื่อเห็นคำยากหรือคำใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่อยากอ่าน ทำให้การอ่านค้นคว้าความรู้ต่างๆ ลดลงตามไปด้วย จึงมีฟื้นฟูการเรียนโฟนิคส์ให้นำกลับมาสอนอีกครั้งเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจหลักการอ่านเขียนอย่างแท้จริง

ในประเทศออสเตรเลียมีโรงเรียนที่ยึดมั่นใช้การสอนตามหลักโฟนิคส์มาตลอดหลายสิบปีด้วยความเชื่อมั่นและปรากฏว่านักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้สามารถกวาดรางวัลการอ่าน การออกเสียง การเขียนเรียงความทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศได้จนมีชื่อเสียงไปทั่ว ทำให้เชื่อได้เลยว่าหลักโฟนิคส์เป็นประโยชน์สำหรับเด็กๆ อย่างแท้จริง

ผลจากการเรียนโฟนิคส์ของเด็กไทยเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กๆ แม้แต่ระดับอนุบาลที่ได้เรียน ก็สนุกที่จะออกเสียงตัวอักษรต่างๆ ภาคภูมิใจที่ผสมคำได้ด้วยตนเอง และเมื่อกลับบ้านก็ยังชอบที่จะอ่านป้าย อ่านและสะกดคำต่างๆ ตามหลักที่ได้เรียนมา จะผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไรแต่เขาก็สนุกที่จะลองใช้ความรู้ที่เรียนมาไปกับคำรอบๆ ตัวที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสร้างทัศนคติที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียนตามหลักที่ถูกต้อง และจะช่วยพัฒนาการออกเสียงและการอ่านเขียนของพวกเขาอย่างมากในระยะยาว และสามารถต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นๆ ที่สำคัญในอนาคต เช่น การเขียนเรียงความ เขียนบทความ การจับประเด็น จับใจความ คิดวิเคราะห์เนื้อหาอย่างเป็นเหตุผลด้วย

หากอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ควรเรียนโฟนิคส์อย่างเดียวเลยหรือไม่
แม้โฟนิคส์จะเป็นความรู้และเป็นพื้นฐานที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียน แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทักษะภาษาอังกฤษทั้งหมด ดังนั้น นอกจากโฟนิคส์แล้ว คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมปูพื้นฐานในเรื่องการฟัง การพูดภาษาอังกฤษของลูกให้ดีควบคู่กันไปด้วย เพราะเป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้กัน และต้องการการฝึกฝนเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อให้ฟังพูดได้คล่องแคล่ว แตกฉาน มั่นใจ และความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละทักษะยังสามารถนำมาเชื่อมโยงต่อยอดกันและกันได้ด้วย ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ตาม ลูกๆ จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขาเรียนรู้ด้วยความสนุกสนานค่ะ

Contact Us

ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยนานาชาติคิตามูระเฮ้าส์

เนอสเซอรี่สไตล์ญี่ปุ่น-เรียนสนุก คิดเป็น เน้นทักษะชีวิต-ร่มเกล้า ลาดกระบัง

  • 087 484 7887
  • www.kitamurahouse.com
  • 98/36 หมู่บ้าน มายด์ ฮอฟฟ์ (ร่มเกล้า-สุวรรณภูมิ) ถนน ร่มเกล้า แขวง คลองสามประเวศ เขต ลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 10520

Video Gallery - How to teach Blending to Read with Jolly Phonics

Kitamura House

แนวทางการศึกษาสไตล์ญี่ปุ่นจากอาจารย์ Yoshifumi Yokomine ผู้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กTooriyama (通山保育園) ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเน้นการปลุกศักยภาพในตัวเด็กทุกคน โดยเชื่อว่า “เด็กทุกคนมีพรสวรรค์” หากมีการดูแลและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
คิตามูระเฮ้าส์ได้รับสิทธิ์ลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการในการใช้หลักสูตรโยโกมิเนะ และเป็นโรงเรียนคู่สัญญาอย่างถูกต้องจากประเทศญี่ปุ่น

Click video


🌟 ปรัชญาโยโคมิเนะ

ชีวิตที่ได้รับจากฟากฟ้านั้นสุดแสนวิเศษ

คนเราไม่ได้ทำอะไรเป็นมาเลยตั้งแต่เกิด เด็กจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคน) เป็นคำพูดที่ตกทอดมาแต่โบราณที่ญี่ปุ่น เด็กทุกคนเป็นอัจฉริยะ ไม่มีเด็กคนไหนที่ทำไม่ได้ เพียงแต่บางคนอาจต้องใช้เวลา เพียงแค่ให้เวลากับเขา โดยเฉพาะช่วงเด็กเล็กจนถึง 6 ขวบ จะเป็นวัยสำคัญที่จะพัฒนาความสามารถ ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับพลังทั้ง 3 ด้านในช่วงวัยเด็ก ซึ่งก็คือ “พลังทางด้านจิตใจ” “พลังทางด้านการเรียน” “พลังทางด้านร่างกาย”

天が与えた命は素晴らしい

生まれつきではありません。子どもは環境(特に人)で育ちます。 日本には昔から氏より育ちという先人が残した言葉があります。 子どもは天才です。できない子なんていません。 時間がかかる子はいます。時間をかければいいだけ。 特に6歳までの時期が大事で可能になる時期です。 バランスが大事。幼児期は“心の力”“学ぶ力”“体の力” この3つを優先して取り組むべし。 ヨコミネ式教育法 横峯吉文先生からタイの保護者の皆様へ

kitamura
kitamura

วัตถุประสงค์

  • วัตถุประสงค์ขั้นสุดของหลักการเรียนการสอนแบบโยโคมิเนะคือ “การพึ่งพาตนเอง”
  • การพึ่งพาตนเองในที่นี้คือ “สามารถคิดเอง ตัดสินใจเอง ลงมือทำและฝึกฝนด้วยตัวเอง”

แนวทางการพัฒนาอัจฉริยภาพตามหลักโยโคมิเนะ

  • 1) การทำได้เป็นเรื่องน่าสนุก
  • 2) พอสนุกแล้วก็อยากฝึกฝน
  • 3) พอฝึกฝนเรื่อยๆก็จะเก่ง
  • 4) เมื่อเก่งก็จะทำให้ชอบ
  • 5) และก็อยากพัฒนาในก้าวต่อๆไป

📍 ข้อมูลโรงเรียน

  • ชื่อโรงเรียน: Kitamura House International Preschool
  • ที่อยู่: 98/36 หมู่บ้านมายด์ฮอฟฟ์ ถนนร่มเกล้า เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
  • โทร: 087-484-7887 (TH/EN/JP)
  • เว็บไซต์: www.kitamurahouse.com
Kitamura House
Denver II Child Development Screening เป็นการประเมินพัฒนาการรอบด้าน ทั้งพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก พัฒนาการทางภาษา ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง พร้อมทั้งคัดกรองปัญหาด้านพฤติกรรม และ ภาวะเอ็นข้อต่อหย่อนด้วย
Video

Denver II ประกอบด้วยข้อทดสอบ 125 ข้อ แบ่งเป็น 4 ด้าน คือ

  • ด้านสังคมและการช่วยตนเอง หมายถึง การมีความสัมพันธ์และใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นๆ กับการดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวัน
  • ด้านใช้กล้ามเนื้อเล็กและปรับตัว หมายถึง การทำงานประสานกันระหว่างกล้ามเนื้อมือและตา การจัดการกับของชิ้นเล็ก และการแก้ไขปัญหา
  • ด้านภาษา หมายถึง การได้ยิน ความเข้าใจภาษา และการใช้ภาษา
  • ด้านใช้กล้ามเนื้อใหญ่ หมายถึง การทรงตัว และการเคลื่อนร่างกาย เช่น การนั่ง การเดิน การกระโดด และการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใหญ่ทั้งหมด
นอกจากนี้หลังการทดสอบยังมีการบันทึกพฤติกรรมระหว่างทดสอบ 5 ข้อ ซึ่งทำให้ผลการทดสอบเป็นประโยชน์และแม่นยำมากขึ้น ได้แก่
  • เด็กเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ใช่ หรือ ไม่ใช่
  • ความร่วมมือ ดีมาก พอควร หรือ น้อย
  • ความสนใจสิ่งแวดล้อม สนใจดี สนใจบ้าง หรือ ไม่สนใจเลย
  • ความกลัว ไม่กลัว กลัวเล็กน้อย หรือ กลัวมาก
  • ระยะความสนใจ เหมาะสมกับวัย เบี่ยงเบนความสนใจค่อนข้างง่าย หรือ เบี่ยงเบนความสนใจง่ายมาก
พัฒนาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพหรือประสิทธิภาพของการทำหน้าที่ การเฝ้าระวังพฤติกรรมพัฒนาการของเด็กวัยต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 6 ปี
เพื่อจะได้ทราบว่าเด็กมีระดับความสามารถด้านต่างๆ เป็นอย่างไร สมวัยหรือไม่เพื่อจะได้แนะนำบิดามารดา ผู้เลี้ยงดูให้อบรมเลี้ยงดูและจัดสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมกับความสนใจและความสามารถของเด็ก ทำให้เกิดโอกาสเรียนรู้และพัฒนาได้ครบทุกด้านอย่างสมดุลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญาและสังคม เด็กจะได้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ในกรณีที่พบว่าเด็กมีพัฒนาการผิดปกติ จะได้ตรวจวินิจฉัยช่วยเหลือแก้ไขแต่เริ่มแรก

สำหรับการทดสอบพัฒนาเพื่อคัดกรองอย่างเป็นระบบ (Developmental screening) จะต้องใช้เครื่องมือทดสอบคัดกรองพัฒนาการที่มีมาตรฐาน ผู้ทดสอบจะต้องได้รับการอบรมและผ่านการรับรองว่าเข้าใจเนื้อหาสาระพัฒนาการเด็ก สามารถทดสอบและสังเกตพฤติกรรมของเด็กและแปลผลอย่างถูกต้องตามคู่มือการทดสอบที่เป็นมาตรฐาน
Kitamura House
Kitamura House
Kitamura House

🧠 การประเมินพัฒนาการเด็กด้วย Denver II ที่คิตามูระเฮ้าส์

ที่คิตามูระเฮ้าส์ เราได้นำแบบประเมินพัฒนาการเด็ก “Denver II” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาใช้เพื่อสนับสนุนพัฒนาการของเด็กอย่างเป็นระบบ การประเมินดำเนินโดยคุณฮิเดโอะ คิตามูระ ผู้ผ่านการอบรมเฉพาะทางและได้รับการรับรองจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยจะประเมินพัฒนาการในด้านภาษา การเคลื่อนไหว ความเข้าใจ และทักษะทางสังคมอย่างละเอียด เพื่อค้นหาความล่าช้าหรือจุดที่ควรส่งเสริมให้เร็วที่สุด

Kitamura House
Kitamura House
Kitamura House

Contact Us

ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยนานาชาติคิตามูระเฮ้าส์

เนอสเซอรี่สไตล์ญี่ปุ่น-เรียนสนุก คิดเป็น เน้นทักษะชีวิต-ร่มเกล้า ลาดกระบัง

  • 087 484 7887
  • www.kitamurahouse.com
  • 98/36 หมู่บ้าน มายด์ ฮอฟฟ์ (ร่มเกล้า-สุวรรณภูมิ) ถนน ร่มเกล้า แขวง คลองสามประเวศ เขต ลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 10520
kitamurahouse
สนุกคิด สนุกวิทย์ กับคิตามูระเฮ้าส์
เด็กๆเคยคิดไหมว่า การผสมสีเราไม่จำเป็นต้องใช้จานสีหรือพู่กัน
เพียงแค่เรามีแก้วน้ำพลาสสติกและกระดาษทิชชู่เราก็สามารถผสมสี โดยใช้แค่แม่สีเพียง3สีเท่านั้น
วันนี้เราทำการทดลองเรื่อง ทิชชู่เปลี่ยนสีเป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่สอดแทรกการทดลองเรื่องการดูดสีและการถ่ายโอนของสีโดยผ่านทิชชูค่ะ
หลังจากนั้นรอเวลาให้สีถ่ายโอนกันและรอว่าสีทั้งสามจะผสมจับคู่กันได้สีอะไร
กิจกรรมนี้ น้องๆจะได้รับความรู้ในการผสมของแม่สีคะ เด็กเล็กเรียนรู้ได้ดีเลยค่ะ
เช่นอากิ เอมี่ค่ะ ส่วนเด็กโตพอเคยได้เรียนรู้มาแล้วบ้าง ได้ทบทวนการผสมของแม่สีค่ะ
ที่คิตามูระเฮ้าส์ เราอยากให้เด็กๆได้ฝึกกระบวนการทางวิยาศาสตร์ เช่น การสังเกต การวัด การคำนวณ การจำแนก การลงความคิดเห็น การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยาม การกำหนดตัวแปร การทดลอง การวิเคราะห์ และแปรผลข้อมูล การสรุปผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ

ทักษะการเรียนรู้อย่างสนุก

ความรู้สึกว่า “ฉันเข้าใจแล้ว” หลังจากที่เด็กๆสามารถค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง
คือรางวัลที่ทรงพลังที่สุดสำหรับพวกเขา ความสุขและความสนุกสนานที่เกิดจาก
ความรู้สึก ”ฉันทำได้” จะเป็นตัวจุดประกายให้เด็กๆ เกิดความอยากเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป

ทักษะการเรียนรู้อย่างเข้าใจ

เป็นทักษะในการทำงานโดยใช้เหตุผล เด็กๆจะได้ฝึกแก้ปัญหาตามเหตุผล และฝึกจดจำข้อความสำคัญในบทเรียน ความสามารถในการจับประเด็นสำคัญ
ในบทเรียนเป็นทักษะการเรียนรู้ที่จะติดตัวเด็กๆไปตลอดกาล และเป็นพลังขับเคลื่อนให้พวกเขามีความใฝ่รู้ไปตลอดชีวิต

ทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

การทำใบงานที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องเพื่อสั่งสมประสบการณ์ จะส่งผลให้เด็กๆ
เกิดทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เมื่อเด็กๆสามารถแก้ปัญหาในใบงานได้สำเร็จด้วยตนเอง
พวกเขาจะเกิดความมั่นใจในตนเอง และเกิดแรงบันดาลใจในการพยายามแก้ปัญหา ที่พวกเขาจะต้องเผชิญในอนาคต

ทักษะการเรียนรู้เพื่อประยุกต์ใช้

เป็นทักษะในการนำความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาอื่นๆหรือการตอบคำถามใหม่
สำหรับปัญหาเดิม ทักษะเหล่านี้ประกอบด้วยการแก้ปัญหา การแสดงความคิดเห็น และการพัฒนาตนเองซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆในยุคนี้
เด็กๆในยุคสมัยนี้จะต้องเผชิญกับคำถามที่ไม่ได้มีเพียงแค่คำตอบเดียว

เราจึงควรปลูกฝังให้เด็กๆมีทัศนคติเหล่านี้
  • 1. มีความมุ่งมั่นพยายามที่จะแก้ไขปัญหามากกว่าการหนีปัญหา
  • 2. มีความสามารถในการเรียนรู้ ไตร่ตรองด้วยตัวเอง
  • 3. มีทักษะและประสบการณ์เพื่อการตัดสินใจที่ดี
  • 4. คิดอย่างมีตรรกะและกล้าแสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างมั่นใจ
  • 5. มีความอดทนต่อการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ
kitamurahouse
kitamurahouse

Contact Us

ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยนานาชาติคิตามูระเฮ้าส์

เนอสเซอรี่สไตล์ญี่ปุ่น-เรียนสนุก คิดเป็น เน้นทักษะชีวิต-ร่มเกล้า ลาดกระบัง

  • 087 484 7887
  • www.kitamurahouse.com
  • 98/36 หมู่บ้าน มายด์ ฮอฟฟ์ (ร่มเกล้า-สุวรรณภูมิ) ถนน ร่มเกล้า แขวง คลองสามประเวศ เขต ลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 10520

Rooted, Confident, Life-Ready.

Where every child’s potential blooms through personalized care and a rich learning journey.